ตาตาร์สถาน ( Tatarstan )

หากพูดถึงตาตาร์สถาน น้อยคนที่จะรู้จักหรือเคยได้ยิน แต่ใครจะรู้ว่าประเทศนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 1000 ปี นับตั้งแต่ปีค.ศ.1123 ที่เจงกิสข่านได้ยกทัพเข้ารุกรานอาณาเขตต่างๆตั้งแต่จีนข้ามมายังเทือกเขาคอเคซัส และมาจบที่ทางตอนใต้ของรัสเซีย คือ อาณาจักรโพลอตที่ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำกัลก้า ( Kalka River ) และหลังจากที่ข่านเสียชีวิตลง “ออคไต” ลูกชายคนที่สามก็ได้สืบทอดอำนาจของกษัตริย์ต่อ และได้ดำเนินรอยตามเจตนารมณ์ของพ่อ จึงได้ยกทัพไปตีเมืองต่างๆบริเวณลุ่มแม่น้ำวอลก้า ( Volga River ) อันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบัลแกเรียในประเทศรัสเซีย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงยุคของบาตู หลานชายของออคไตและเหลนของเจงกิสข่าน ได้เข้าโจมตีอาณาจักรรัสเซียทั่วประเทศและได้ตั้งกองบัญชาการทัพทางบริเวณลุ่มแม่น้ำวอลก้า ซึ่งปัจจุบันคือเมืองโอล์ด ซาราย ( Old Sarai ) และตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นมา ชื่อ “ โกลเดน ฮอร์ด” เกิดจากการรวบรวมอาณาจักรรัสเซียที่อยู่ภายใต้การปกครอง มีฐานะเป็นเมืองขึ้น ชื่อว่า “ตาตาร์โยค” หรือก็คือ “คาซาน” ในปัจจุบัน จนกระทั่งในปีค.ศ. 1480 เจ้าชายซาร์อีวานที่ 3 ก็สามารถปลดแอกจากการตกเป็นเมืองขึ้นของพววกมองโกลได้สำเร็จ ทำให้อาณาจักรโกลเดน ฮอร์ดล่มสลายในปีค.ศ. 1502  

สถานที่สำคัญในตาตาร์สถานที่น่าสนใจ


1.คาซาน ( Kazan )

เมื่อสิ้นสุดยุคของเจ้าชายซาร์อีวานที่ 3 คาซานก็ได้อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของข่านยาเดก้า มอกแซมมัด ( Yadega Moxammad ) ข่านองค์สุดท้ายแห่งแคว้นอัสตราฮัน ซึ่งเคยตกเป็นเมืองขึ้นโดยรวมอยู่ในโกลเดน ฮอร์ด เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปีค.ศ.1552 เจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 หรืออีวานผู้โหดเหี้ยมได้ยกทัพแบบเต็มกำลังบุกเมืองคาซาน โดยตั้งค่ายอยู่ที่เกาะซวิยาสค์ ( Sviyazhsk island ) และได้ทำการเคลื่อนพลทหารกว่า 150,000 นายมาตามแม่น้ำวอลก้า ทำการล้อมรอบเมืองเพื่อตัดการเข้าถึงน้ำซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและหล่อเลี้ยงชีวิต เมื่อหมดหนทาง เมืองคาซานจึงต้องยอมสิโรราบให้กับกองทัพของเจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 

2.มัสยิดโคล ชาริฟ ( Kol Sharif Mosque )

ภายหลังจากที่เมืองคาซานได้ยอมสิโรราบให้กับเจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 ข่านองค์สุดท้ายยยาเดก้า มอกแซมมัดก็ถูกนำตัวไปคุมขังเป็นเชลยที่กรุงมอสโก ส่วนผู้นำทางศาสนานามว่าโคล ชาริฟได้ถูกสังหารเนื่องจากเจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 นับถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ มัสยิดแห่งนี้ได้ถูกตั้งชื่อตามผู้นำทางศาสนา ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 16 - 17 ซึ่งหลังจากที่หมดยุคการปกครองของเจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 ในปัจจุบันเป็นมัสยิดที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในรัสเซียและในทวีปยุโรป และได้รับการบูรณะในภายหลังอีกครั้งหนึ่งโดยการสมทบทุนจากนานาๆประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของเหล่านักแสวงบุญเป็นจำนวนมาก

3.หอคอยโซเย็มบิกะ ( Soyembika Tower )

หอคอยโซเย็มบิกะเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญของคาซาน หอคอยโซเย็มบิกะ ตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงเครมลินแห่งคาซาน สร้างด้วยอิฐที่สูงถึง 58 เมตรหรือราว 190 ฟุต ตามตำนานที่เล่าต่อกันมาได้กล่าวไว้ว่า หอคอยโซเย็มบิกะแห่งนี้ ถูกตั้งตามชื่อเจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งคาซานนามว่า โซเย็มบิกะ เมื่อครั้งที่เจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 (Ivan the Terrible) ได้บุกเข้าโจมตีเมืองคาซานจนได้รับชัยชนะ และได้เกิดตกหลุมรักเจ้าหญิงโซเย็มบิกะเข้า เจ้าหญิงจึงออกอุบายหากเจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 สร้างหอคอยที่สูงที่สุดในเมืองให้ได้ภายใน 7 วัน จะยอมตกเป็นภรรยา ด้วยความมุมานะบวกกับกองกำลังทหารที่มหาศาล ในช่วงเช้ามืดของวันที่เจ็ด การก่อสร้างหอคอยโซเย็มบิกะก็เสร็จสิ้นพอดี แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอย่างไรนั้น มาร่วมเดินทางไปกับเราสิคะ 

4.คาซาน เครมลิน ( Kazan Kremlin )

หลังสิ้นสุดสงคราม  เจ้าชายซาร์อีวานที่ 4 ได้นำซากอิฐของกำแพงเมืองคาซานมาสร้างใหม่เพื่อเป็นป้อมปราการ ในปัจจุบันถูกเรียกว่าคาซาน เครมลิน ซึ่งมีกำแพงที่ล้อมรอบยาวกว่า 1,800 เมตร และยังได้บังคับให้ชาวมุสลิมตาตาร์เปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ตามตนเองอีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ภายในบริเวณกำแพงนี้มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของสองศาสนาเข้าด้วยกัน นั่นคือ มัสยิดโคล ชาริฟ และ มหาวิหารแอนนันชิเอชั่น ซึ่งในปัจจุบัน คาซาน เครมลินถือว่าเป็นย่านประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่งของเมืองคาซาน ได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 2000 ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นป้อมปราการของตาตาร์ ( Tatar ) เพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในรัสเซียและเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญ

Top